ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

Wi-Fi

Wi-Fi คืออะไร
802.11x
Wi-Fi ย่อมาจาก Wireless Fidelity หรือที่คนทั่วๆไปรู้จักกันในนาม Wireless LAN หรือ WLAN
คำว่า Wi-Fi นี้ เราใช้ในการเรียกระบบที่อยู่ในมาตราฐาน 802.11 ของหน่วยงาน IEEE คล้ายๆกับคำว่า Ethernet ที่เราใช้เรียกแทน IEEE 802.3 นั่นเอง
ระบบเครือข่ายไร้สาย Wi-Fi ในปัจจุบันมีอยู่ 3 มาตราฐานคือ 802.11a, 802.11b และ 802.11g
802.11a มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 54 mbps
802.11b มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุด อยู่ที่ 11 mbps ซึ่งในปัจจุบัน เป็นระบบที่แพร่หลายที่สุดในโลก
802.11g มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 54 mbps เท่ากับ 802.11a เพียงแต่ว่า 802.11g สามารถใช้เครือข่ายร่วมกันได้กับ 802.11b
ระบบเครือข่ายไร้สาย Wi-Fi แบบ 802.11b และ g มีระยะส่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 120 เมตรสำหรับการใช้งานภายนอกอาคาร ส่วนภายในอาคารจะมีระยะส่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30 เมตรเท่านั้น ส่วน 802.11a นั้นจะมีระยะส่งแค่ครึ่งเดียวของ b และ g เท่านั้น
ข้อแตกต่างของ 802.11a, 802.11b และ 802.11g

                                                      ข้างล่างเป็นข้อมูลเพิ่มเติมจาก หนังสือ PC WORLD ฉบับเดือนธันวาคม 2003

802.11f :
รู้จักกันในอีกชื่อว่า IAPP (Inter Access Point Protocol) เป็นมาตรตราฐานที่ออกแบบมาให้ Access Point คุยกันโดยใช้ Layer 2 เพื่อจัดการกับผู้ใช้ที่เคลื่อนที่ข้ามขอบข่ายการให้บริการจาก Access Point ตัวหนึ่งไปหา Access Point อีกตัวหนึ่ง (Roaming) มาตรฐานนี้คาดว่าน่าจะกำหนดเสร็จภายในสิ้นปี 2003
802.11e : เป็นมาตรฐานสำหรับกำหนดคุณภาพของการสื่อสารบน WLAN (กำหนด Quality of Servicce) โดยตั้งใจออกแบบมาสำหรับงานด้านมัลติมีเดีย เช่น Voice over IP คือทำให้สามารถกำหนดความสำคัญกับข้อมูลแต่ละชนิดได้ แต่อย่างไรก็ดีคาดว่ามาตรฐานย่อยที่ชื่อ WME (Wireless Multimedia Enhancement) น่าจะเสร็จก่อน
802.11h :
เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาให้ระบบ WLAN ที่ทำงานในความถี่ 5GHz สามารถทำงานได้ถูกต้องตามข้อกำหนดการใช้ความถี่ของค่ายยุโรป ซึ่งมาตรฐานนี้จะถูกรองรับโดย EU ภายในสิ้นปีนี้
802.11i :
เป็นมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยบน WLAN ระดับเอ็นเตอร์ไพรส์ โดยสร้างเเพิ่มเติมจากมาตรฐานการตรวจสอบบุคคลแบบ 802.1x โดยคาดว่าจะมาแทนที่การเข้ารหัสแบบ WEP (Wired Equivalent Privacy) ด้วยการเข้ารหัสแบบ AES (Advanced Encryption Standard) ซึ่เข้มกว่ามาก คาดว่ามาตรฐานนี้จะเสร็จภายในปีนี้เช่นกัน
802.11k :
เป็นมาตรฐานที่ทำให้ระบบ WLAN สามารถจัดการได้ง่ายขึ้น โดยให้ข้อมูลด้านการจัดการ เช่น ข้อมูลการใช้ความถี่ หรือข้อมูลเกี่ยวกับเครือข่ายสามารถส่งไปมาบนเน็ตเวิร์ค เพื่อให้ระบบจัดการสามารถทำงานจากศูนย์กลางได้
802.11n :
เป็นมาตรฐานการสื่อสารใหม่ที่เร็วขึนกว่าเดิม คือเร็วกว่า 802.11a และ 802.11g เสียอีก โดยมาตรฐานปัจจุบันคือทั้ง a และ g จะทำความเร็วได้สูงสุด 54Mbps แต่ n นั้นจะใช้ความถี่เดียวกับ a คือที่ 5GHz แต่จะทำความเร็วได้สูงถึง 100Mbps เลยทีเดียว แต่มาตรฐานนี้ยังนับว่าห่างไกลกับความจริงมาก เพราะกลุ่มทำงานที่จะกำหนดมาตรฐานเพิ่งตั้งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และคาดว่าน่าจะออกมาตรฐานเสร็จในปี 2005 หรือ 2006 เป็นอย่างช้า
802.1x :
เป็นมาตรฐานระบบรักษาความปลอดภัย ที่จะตรวจสอบบุคคลที่จะเข้าใช้งาน รวมไปถึงการอนุญาติให้ใช้งาน โดยจะอิงตามพอร์ต คืออนุญาติเป็นรายพอร์ตไป ปัจจุบันมีใช้งานในในอุปกรณ์หลายตัวแล้ว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐาน WPA โดยระบบ 802.1x นี้จะใช้โพรโตคอลคือ EAP (Extensible Authentication Protocal) จะสามารถรองรับเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ตรวจสอบบุคคลได้หลากหลาย เช่น Kerberos และ RADIUS เป็นต้น


LWAPP (Lightweight Access Point Protocol) :
เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาด้านการจัดการ Access Point โดยเฉพาะ คือมุ่งสร้างมาตรฐานวิธีการสื่อสารระหว่างตัว Access Point กับตัวสวิตซ์หรือเราเตอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมตรงกลางอย่างไรก็ดีบริษัทซิสโก้ก็ไม่ได้ร่วมกับมาตรฐานนี้แต่ได้สร้างมาตรฐานของตัวเองขึ้นมา ปัจจุบันมาตรฐานนี้อยู่ในขั้นเป็นมาตรฐานร่างของ IETF (Internet Engineering Task Force)

WPA (Wi-Fi Protected Access) :
เป็นมาตรฐานคั่นกลางก่อนจะไปถึงมาตรฐาน 802.11i โดยมาตรฐานนี้ได้ลงรายละเอียดไปถึงการตรวจสอบบุคลด้วยมาตรฐาน 802.11x และการเข้ารหัสด้วยโพรโตคอล TKIP (Temporal Key Integrity Protocol) ซึ่งดีกว่า WEP ปัจจุบัน WPA ได้ถูกนำไปใช้ในฮาร์ดแวร์จำนวนนั่นเอง





Cloud Computing

Cloud Computing

            Cloud หรือบางคนก็บอกว่า Cloud Computing มันคืออะไร ค้นในเน็ตเจอคำแปลต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่บอกว่า การประมวลผลบนก้อนเมฆ... ถ้าสำหรับแบบที่ผมคิดนะ ผมว่าก็คือระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เรานี่แหละ แต่แทนที่จะต้องมาประมวลผล หรือทำงานแบบเดิมคือทำบน PC แบบที่เราเคยใช้ๆกันอยู่มันจะย้ายไปทำงานผ่านพวก WEB Browser บนโลกอินเตอร์เน็ต อาทิเช่น เดิม เราใช้ Microsoft Word, Excel, Power Point โดยเราต้องเปิด PC แล้วรอมัน Windows มันบู๊ต แล้วเราก็เลือกไอคอน โปรแกรม แล้วก็คลิ๊กเปิด แล้วก็ใช้งาน




         แต่ถ้าเป็น Cloud Computing หรือ Cloud Service คือเราเข้าอินเตอร์เน็ตให้ได้ และเราก็จะใช้งานโปรแกรมอะไรก็ตามแต่ ผู้ให้บริการบนโลกอินเตอร์เน็ต เขาก็จะเตรียมไว้ให้เราแล้ว (แต่ถ้าเข้าอินเตอรเน็ตไม่ได้...ก็เกิดเรื่องกันละทีนี้) เอาให้ง่ายเข้าไปอีก ลองคิดถึงแต่ก่อนเราอาจจะต้องใช้ Outlook หรือ Lotus Note ในการทำงานเพื่อเปิดเครือ่งเพื่อรับเมล์ เดี๋ยวนี้เราจะเห็น มี Google, Hotmail หรือ Yahoo ให้เราสามารถเช็คเมล์ได้ โดยเฉพาะ Google พี่ท่านกะล็อกทุกอย่าง หรือครองโลกออนไลน์เลยก็ว่าได้ เดี๋ยวถ้าเรามี Domain แล้วไม่ต้องการมี Server หรือตั้งระบบ Mail Server เราสามารถไปเช่าใช้บริการผูกเมล์เราเข้ากับระบบ Gmail ของ Google ได้อีกต่างหาก


    อีกหน่อย ในความคิดผมนะ เครื่อง PC หรือ Notebook ต่อไปเปิดมา อาจจะไม่ต้องเปิดผ่าน Windows เลยก็เป็นไปได้ คือเปิดขึ้นมากลายเป็น WEB OS เลย ก็คือแบบเปิดปุ๊บ เข้าอินเตอร์เน็ตทันที อยากใช้โปรแกรมอะไรก็แค่ เรียก หรือเปิดใช้บริการเอา อาจจะมีทั้งแบบฟรี หรือเสียเงินก็ว่ากันไป และแนวโน้มก็ค่อนข้างจะไปทางนั้นแหละผมว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราเริ่มมีอุปกรณ์พวก tablet หรือ มือถือ ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าระบบอินเตอร์เน็ตได้แบบทันทีที่เปิดเครื่อง และแนวโน้มของคนที่จะใช้ tablet นั้น ผมขอเดาว่าอีกไม่นาน 1-2 ปีนี้ จะมีปริมาณที่มากกว่า PC หรือ Notebook กว่าในอดีตมาก โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ที่จะโตไวมาก เพราะมันชัดแล้วว่า เทคโนโลยีจะไวขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และราคาก็จะถูกลงเรื่อยๆ ทำให้ สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ทุกเพศ ทุกวัย

    อ่ะกลับมาต่อ สำหรับตัวผมเอาแบบนี้ดีกว่า หลายๆคนอาจจะเคยได้เจอหรือเคยได้ยินหรือแอบเข้าใจไปแล้วนิดๆ ก็ได้ ผมจะอธิบายแบบที่ผมเข้าใจแหละกัน Cloud Computing โดยหลักการใช้งานของ Cloud นั้นคือ ผู้ที่จะใช้ไม่ต้องสนใจเลยว่าระบบที่ตัวเองใช้จะมีโครงสร้างหรือ Hardware / Software อะไรยังไง ผู้ใช้เพียงแต่ระบุความต้องการหรือ Requirement ของตัวเอง จากนั้นระบบก็จะให้บริการหรือ Services ด้านต่างๆ ตามที่ระบบมีอยู่หรือตามที่ผู้ใช้ร้องขอ และจะมีส่วนประกอบหลักๆ ที่ต้องพูดถึงอยู่ 3 อย่างคือ บริการของมัน ความต้องการของเรา และทรัพยากรต่างๆ ที่ต้องใช้หรือมีอยู่...


Windows 7 คำสั่งลัด

 Windows 7





ใช้แป้นพิมพ์เป็นคำสั่งลัด

     การใช้เมาส์อาจจำยอดเยี่ยมกว่าีคีย์บอร์ดมากในการใช้งานทั่วๆไป แต่ถ้าหากใช้แป้นพิมพ์ไปด้วยมันคงจะเจ๋งเข้าไปให้ ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของคำสั่งที่ใช้ด้วย แป้นพิมพ์ลัด

Win+ลูกศาซ้าย และ Win+ลูกศรขวา เป็นการเลื่อนรายการที่ ที่ dock ของวินโดวส์ไปทางซ้ายหรือขวา

Win + ลูกศรบน และ Win + ลูกศรลง เป็นการย่อ หรือเรียกคืนหน้าต่างที่เปิดใช้งานอยู่

Win + M ย่อทุกหน้าต่างที่เปิดอยู่

Alt + ลูกศรขึ้น , Alt + ลูกศรซ้าย , Alt + ลูกศรขวา เป็นการเรียกไปที่โฟลเดอร์หลักหรือเรียกกลับ และส่งต่อผ่านโฟลเดอร์ใน Explorer

Win + Home ย่อและเปิดหน้าต่างทั้งหมดยกเว้นหน้าต่างที่ใช้งาน

Alt + Win + # เข้าถึงรายการของโปรแกรม '#' บน task bar เครื่องหมาย # แทนตัวเลขลำดับที่ของโปรแกรมที่เปิดอยู่




แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6
1.คุณสมบัติของข้อมูลที่ดีประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
- ความถูกต้อง(Accuracy)
               จำเป็นต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงหรือถูกต้องตรงกันกับแหล่งข้อมูลนั้น
- มีความเป็นปัจจุบัน(Update)
               ข้อมูลที่ทันสมัยมาใช้ในการประมวลผลจะทำให้ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง
- ตรงตามความต้องการ(relevance)
                ข้อมูลที่ถูกต้องแต่ไม่ตรงกับความต้องการก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่ใช้ไม่ได้
- ความสมบูรณ์(Complete)
                ข้อมูลที่ดีต้องมีความครบถ้วนสมบูรณ์
- สามารถตรวจสอบได้(Verifiable)
                ข้อมูลที่ดีควรตรวจสอบแหล่งที่มาหรือหลักฐานอ้างอิงได้

5.ในแง่ของการจัดการข้อมูลนั้น ข้อมูลมีโอกาสซ้ำกันได้หรือไม่ จะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร
-ข้อมูลมีโอกาสซ้ำกันได้ มีวิธีแก้ไขคือใช้วิธีการจัดเก็บรวบรวมแฟ้มข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันนำมาจัดเรียงรวมกันเสียใหม่อย่างเป็นระบบเพื่อให้สะดวกต่อการค้นหาและเรียกใช้ข้อมูลร่วมกัน โดยจัดทำเป็น ระบบฐานข้อมูล นั่นเอง

8.เหตุใดจึงต้องนำระบบฐานข้อมูลมาใช้ในการทำงาน จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
-เพราะการนำระบบฐานข้อมูลมาใช้ในการทำงานนั้นจะช่วยให้การทำงานมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลบนเว็บสำหรับการเก็บข้อมูลสินค้า ข้อมูลการซื้อ ข้อมูลยอดขาย เป็นต้น

10.DBMS มีประโยชน์อย่างไรต่อการใช้งานฐานข้อมูล
-เป็นเสมือนตัวกลางที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานฐานข้อมูลได้เป็นอย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลในระดับที่ลึกมากก๊สามารถดูแลรักษาฐานข้อมูลได้รวมถึงควบคุมการเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ด้วย อีกทั้งยังทำให้การค้นคืนข้อมูลต่างๆสามารถทำได้ง่ายดาย ซึ่งมีภาษาการจัดเก็บข้อมูลโดยเฉพาะของตนเอง

12.ความสามารถทั่วไปของ DBMS มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
- คุณสมบัติหรือความสามารถโดยทั่วไปของ DBMS พอสรุปได้ดังนี้
      สร้างฐานข้อมูลโดยปกตินั้น การออกแบบฐานข้อมูลอาจต้องมีการเก็บข้อมูลหรือขั้นตอนการทำงานของระบบที่จะพัฒนาเสียก่อนเพื่อให้ทราบได้ว่าต้องการฐานข้อมูลอะไรบ้าง ตารางที่จัดเก็บมีกี่ตาราง จากนั้นจึงนำเอามาสร้างเป็นฐานข้อมูลจริงใน DBMS ทั่วโป โดยผ่านเครื่องมือที่มีอยู่ในโปรแกรมซึ่งอาศัยภาษา SQLในการสั่งงาน- เพิ่ม เปลี่ยนแปลงแก้ไขและลบข้อมูลฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นด้วย DBMS นั้น สามารถเพิ่มค่า เปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลต่างๆได้ทุกเมื่อโดยเข้าไปจัดการได้ที่ DBMS โดยตรง เช่น เพิ่มค่าเรคอร์ดบางเรคอร์ดที่ตกหล่น ลบหรือแก้ไขข้อมูลบางเรคอร์ดที่ต้องการ เป็นต้น- จัดเรียงและค้นหาข้อมูลDBMS สามารถจัดเรียงข้อมูลได้โดยง่าย ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะให้จัดเรียงแบบใด เรียงข้อมูลจากค่าน้อยไปหาค่ามากหรือเรียงตามลำดับวันเวลา เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถระบุค่าเพียงบางค่าเพื่อค้นหาข้อมูลได้โดยง่าย เช่น ป้อนอักษร A เพื่อค้นหาข้อมูลสินค้าที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร A ได้ เป็นต้น- สร้างรูปแบบและรายงาน การแสดงผลบนหน้าจอ (form) และพิมพ์ผลลัพธ์รายการต่างๆออกมาเป็นรายงาน (report) เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่ DBMS สามารถทำได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลดังกล่าว สามารถตรวจสอบหรือแก้ไขรายการที่มีอยู่นั้นได้โดยง่าย